การบริหารความเสี่ยง

ความมุ่งมั่นของเรา
บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงในฐานะหัวใจสำคัญที่ช่วยสนับสนุนความมั่นคงและความยั่งยืนของธุรกิจในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการดำเนินธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ทั้งจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และกฎหมาย รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ความเสี่ยงเหล่านี้หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน การเติบโต และชื่อเสียงของบริษัท
เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนดังกล่าว คณะกรรมการและผู้บริหารของบริษัทได้กำหนดกรอบการบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ โดยบูรณาการการบริหารความเสี่ยงเข้ากับกระบวนการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการวางแผนกลยุทธ์ในระยะสั้นและระยะยาว การบริหารความเสี่ยงของบริษัทครอบคลุมตั้งแต่การระบุและประเมินความเสี่ยง การจัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยง และการกำหนดมาตรการควบคุมหรือป้องกันความเสี่ยงในระดับที่เหมาะสม ซึ่งครอบคลุมทั้งปัจจัยภายในองค์กร เช่น การจัดการทรัพยากรบุคคล ระบบงาน และกระบวนการภายใน ตลอดจนปัจจัยภายนอก เช่น สภาพเศรษฐกิจโลก การแข่งขันในอุตสาหกรรม และกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ บริษัทได้ส่งเสริมให้พนักงานทุกระดับมีความเข้าใจในบทบาทของการบริหารความเสี่ยงและมีส่วนร่วมในการดำเนินการป้องกันความเสี่ยงในหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบ โดยได้จัดให้มีการอบรม การให้คำปรึกษา และการสื่อสารที่เปิดเผยเพื่อสร้างความตระหนักในเรื่องความเสี่ยงและแนวทางการจัดการที่เหมาะสม ทั้งนี้ บริษัทให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยเสริมศักยภาพในการติดตามและบริหารจัดการความเสี่ยงในทุกด้านอย่างมีประสิทธิภาพ
การบริหารความเสี่ยงที่มีคุณภาพยังช่วยสร้างความมั่นใจแก่ผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งนักลงทุน คู่ค้า ลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ ว่าบริษัทมีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นและสามารถจัดการกับปัจจัยความไม่แน่นอนได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างราบรื่นและรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาด
ด้วยความมุ่งมั่นดังกล่าว บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) จึงยึดมั่นในการบริหารความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้เสีย และเพื่อให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยั่งยืนในระยะยาว
การสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ส่งเสริมความยั่งยืนระดับโลกผ่านการสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs)
ผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง
แนวทางการบริหารจัดการ
แนวทางการบริหารจัดการ บริษัทให้ความสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยง โดยเฉพาะความเสี่ยงใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยบริษัทดำเนินนโยบายตามกรอบการบริหารจัดการความเสี่ยง ทั่วทั้งองค์กร (Enterprise Risk Management: ERM) ตามมาตรฐานสากล Committee of Sponsoring Organizations of Treadway Commission (COSO) โดยมีการประเมินความเสี่ยงเป็นประจำทุกปีและเพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจเติบโตอยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืน
บริษัทได้ใช้นโยบายการบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจ (Business Continuity Management Policy) และนโยบายการลงทุน (Corporate Investment Policy) ในการวางแผนเชิงรุกสำหรับสภาวะวิกฤตอันจะเกิดขึ้นได้เพื่อลดผลกระทบจากการหยุดชะงักทางธุรกิจ โดยมีการวิเคราะห์และพิจารณาปัจจัยความเสี่ยงใน 3 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม หรือ ESG ซึ่งจะส่งผลให้การดำเนินธุรกิจ และการลงทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนภายใต้โครงสร้างและกรอบนโยบายความเสี่ยงที่บริษัทกำหนดซึ่งเชื่อมโยงกับการควบคุมและการตรวจสอบภายในขององค์กรอย่างเป็นระบบ
ทั้งนี้บริษัทได้ประเมินความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กรตามความเสี่ยงปกติและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ เพื่อเตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยที่มีโอกาสที่จะกระทบต่อเป้าหมายของธุรกิจบริษัทที่อาจทำให้เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์หรือการให้บริการในรูปแบบเดิม ๆ รวมถึงบริษัทมุ่งมั่นบริหารจัดการความเสี่ยงโดยให้พนักงานมีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เฝ้าระวัง ผลกระทบอันอาจจะเกิดจากความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ นำผลที่ได้จากการประเมินและบริหารความเสี่ยงมาใช้ในการกำหนดกลยุทธ์เป้าหมายและแผนพัฒนาธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
โครงสร้างการบริหารจัดการความเสี่ยง
บริษัทได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงองค์กร ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจให้บรรลุตามกลยุทธ์ วัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายที่วางไว้ ตลอดจนสนับสนุนการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงได้กำหนดนโยบายการบริหารความเสี่ยงขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางและกรอบการดำเนินงานสำหรับทุกหน่วยงานของบริษัทและบริษัทย่อย
- คณะกรรมการบริษัท มีหน้าที่สนับสนุน ส่งเสริม กำกับดูแลบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจมีผลกระทบที่รุนแรงต่อบริษัท
- คณะกรรมการตรวจสอบ มีหน้าที่กำกับดูแลและติดตามการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นอิสระ สอบทานระบบควบคุมภายใน สื่อสารกับคณะกรรมการบริหาร และรายงานต่อคณะกรรมการบริษัทเกี่ยวกับความเสี่ยง
- คณะกรรมการบริหาร มีหน้าที่พิจารณาความเห็นชอบนโยบายการบริหารความเสี่ยง ติดตามการพัฒนา กระบวนการ และประเมินความเสี่ยง รวมถึงสื่อสาร ประสานงานกับคณะกรรมการตรวจสอบเกี่ยวกับความเสี่ยงที่สำคัญ
- ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มีหน้าที่จัดทำ ทบทวน ระเบียบเรื่องการบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทมีแผนจัดการความเสี่ยงที่เพียงพอเหมาะสม
- ผู้รับผิดชอบบริหารความเสี่ยงของหน่วยงาน มีหน้าที่ จัดให้มีกรอบ แผนงาน กระบวนการในการบริหารความเสี่ยงของหน่วยงานเพื่อนำเสนอต่อตณะกรรมการบริหารพิจารณาอนุมัติและสนับสนุน ติดตามการบริหารความเสี่ยงของหน่วยงานในความรับผิดชอบ
- ผู้ตรวจสอบภายใน มีหน้าที่สอบทานระบบควบคุมภายใน การปฏิบัติงานการบริหารความเสี่ยง
- หัวหน้างานและพนักงาน มีหน้าที่ระบุ วัด ควบคุม ติดตาม รายงานความเสี่ยง และร่วมจัดทำแผนความเสี่ยงทำไปปฏิบัติ
โครงสร้างและความรับผิดชอบในการบริหารความเสี่ยง
ผู้บริหารและพนักงานทุกคนของกลุ่มบริษัท เป็นเจ้าของความเสี่ยง โดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบร่วมกันในการระบุและประเมินความเสี่ยงภายในหน่วนงานของตนเองที่รับผิดชอบ รวมทั้ง การกำหนดมารการที่เหมาะสมเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยง และบริษัทจะบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ (Risk Appetite) หรือจะเบี่ยงเบนไปไม่เกินในระดับที่บริษัทยอมรับได้ (Risk Tolerances) ซึ่งการที่จะสร้างแนวคิดให้กับผู้บริหารและพนักงานในการคำนึงถึงความเสี่ยงบริษัทจะต้องส่งเสริมวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยง (Risk Management Culture) เพื่อสร้างความเข้าใจถึงจิตสำนึก และความรับผิดชอบร่วมกันในเรื่องของความเสี่ยง
กระบวนการบริหารจัดการความเสี่ยง
บริษัทดำเนินการประเมินและติดตามประเด็นความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทในทุกมิติ กระบวนการบริหารความเสี่ยงของบริษัทถูกออกแบบให้มีความเป็นระบบและครอบคลุม เพื่อให้สามารถระบุ วิเคราะห์ และจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นให้ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ทั้งนี้ บริษัทตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ วัตถุประสงค์ และเป้าหมายขององค์กร พร้อมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนในระยะยาว ประกอบด้วย 8 ขั้นตอน ดังนี้
- กำหนดกลยุทธ์และวัตถุประสงค์
กำหนดกลยุทธ์และวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติงานของทุกหน่วยงาน รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานพึงกำหนดกลยุทธ์ วัตถุประสงค์ทางธุรกิจ หรือวัตถุประสงค์ของงานที่ทำให้ชัดเจนสอดคล้องกับนโยบาย เป้าหมาย กลยุทธ์และความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- ระบุความเสี่ยง
ผู้รับผิดชอบหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงานพึงทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงปัจจัยเสี่ยงและระบุความเสี่ยงที่ อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยทั้งภายในและปัจจัยภายนอก ซึ่งอาจเป็นเหตุการณ์ทั้งที่เป็นผลดีและผลเสียต่อการบรรลุ วัตถุประสงค์
- ประเมินความรุนแรงของความเสี่ยง
ผู้รับผิดชอบหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงานพึงประเมินความเสี่ยงจากความถี่หรือความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดเหตุการณ์ (Likelihood) และความรุนแรงของผลกระทบจากเหตุการณ์ (Impact) ที่อาจจะเกิดขึ้น
- จัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยง
ผู้รับผิดชอบหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงานควรจัดลำดับความสำคัญและความรีบด่วนในการบริหารจัดการความเสี่ยงซึ่งกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงและมีความสำคัญต่อการดำเนินตามกลยุทธ์ และวัตถุประสงค์ ควรต้องได้รับการบริหาร จัดการความเสี่ยงเป็นลำดับแรกและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงและมีความสำคัญลำดับรองควรได้รับการบริหารจัดการความเสี่ยงเป็นลำดับต่อไป
- ดำเนินการตอบสนองความเสี่ยง
ผู้รับผิดชอบหน่วยงานรวมทั้งผู้ปฏิบัติงานพึงพิจารณาวิธีการจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยคำนึงถึงความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ต้นทุนที่เกิดขึ้นกับผลประโยชน์ที่จะได้รับ การตอบสนองความเสี่ยงอาจเลือกวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายวิธีรวมกัน เพื่อลดระดับความถี่หรือความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ และความรุนแรงของผลกระทบจากเหตุการณ์
- พัฒนาข้อมูลการบริหารความเสี่ยง
ผู้รับผิดชอบหน่วยงาน รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานพึงพัฒนาการบริหารความเสี่ยง โดยบูรณาการปัจจัยเสี่ยงความเสี่ยง และความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันของหน่วยงานต่างๆ เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการบริหารความเสี่ยงร่วมกัน
- สอบทานและแก้ไขปรับปรุง
ผู้รับผิดชอบหน่วยงานรวมทั้งผู้ปฏิบัติงานพึงจัดให้มีการติดตามความเสี่ยงและสอบทานผลการบริหารความเสี่ยงและแก้ไขปรับปรุงการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้มั่นใจว่าการบริหารจัดการความเสี่ยงได้นำไปประยุกต์ใช้ในทุกระดับของบริษัทอย่างเหมาะสม และความเสี่ยงที่มีผลกระทบที่สำคัญต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ของบริษัทได้รับการรายงานต่อผู้รับผิดชอบ
- ติดตามและประเมินผล
ผู้รับผิดชอบหน่วยงานรวมทั้งผู้ปฏิบัติงานพึงจัดให้มีการติดตามและทบทวนการบริหารความเสี่ยง สื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงร่วมกันและรายงานการบริหารความเสี่ยงต่อคณะกรรมการบริหารอย่างสม่ำเสมอ
ทั้งนี้ เพื่อมุ่งมั่นพัฒนาระบบการกำกับดูแลกิจการให้สอดคล้องตามหลักการกำกับดูแลกิจการแนวปฏิบัติที่ดีรวมทั้งกฎระเบียบ ข้อกำหนดของทางการ และหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแล เพื่อให้นโยบายการบริหารความเสี่ยงเป็นปัจจุบัน เหมาะสมกับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลง บริษัทจึงกำหนดให้มีการทบทวนนโยบายการบริหารความเสี่ยงเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง
การบริหารจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ
แผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ หรือ “Business Continuity Plan (BCP)” เพื่อให้ฝ่ายงานต่างๆ ในบริษัทสามารถนำไปใช้ในการตอบสนองและปฏิบัติงานในภาวะวิกฤติหรือเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ทั้งที่เกิดจากภัย ธรรมชาติ อุบัติเหตุ หรือการมุ่งร้ายต่อองค์กร โดยไม่ให้ภาวะวิกฤตหรือเหตุการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวนั้นส่งผลให้ธุรกิจต้องหยุดชะงัก หรือไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากองค์กรไม่มีกระบวนการรองรับในระหว่างที่องค์กรเกิดภาวะวิกฤตหรือเหตุการณ์ฉุกเฉิน อาจส่งผลกระทบต่อหน่วยงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในด้านต่างๆ เช่น ด้านเศรษฐกิจ ด้านการให้บริการ ด้านสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม ไปตลอดจนชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน เป็นต้น
ดังนั้น การจัดทำแผนบริหารความต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรสามารถรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด และทำให้กระบวนการที่สำคัญ (Critical Business Process) สามารถกลับมาดำเนินการได้อย่างปกติ หรือตามระดับการให้บริการที่กำหนดไว้ ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดระดับความรุนแรงของผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อหน่วยงานได้
เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ดังกล่าว ให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องผ่านการวิเคราะห์ความเสี่ยง จัดลำดับประเด็นความเสี่ยง และวางแผนการจัดการอย่างเป็นระบบ รวมถึงมีการปรับใช้แผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจในเหตุการณ์สมมติ เพื่อนำผลที่ได้จากการซ้อมไปปรับปรุงและทบทวนแผน ตลอดจนตรวจสอบความสามารถของบุคลากรและประสิทธิภาพของแผนในการตอบสนองต่อภาวะวิกฤติ
-
1ประเมินผลกระทบที่ได้รับจากภาวะวิกฤต : เพื่อเตรียมแผนการล่วงหน้าและพร้อมรับมือต่อทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นอยู่เสมอ เพื่อให้หน่วยงานสามารถดำเนินธุรกิจไปได้อย่างต่อเนื่อง
-
2จัดตั้งทีมงานบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ : เพื่อให้แผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) ของบริษัทสามารถดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีผู้รับผิดชอบการดำเนินที่ชัดเจน ลดความซ้ำซ้อนของการแก้ไขสถานการณ์
-
3วิเคราะห์ผลกระทบทางธุรกิจ : มีการจัดลำดับความสำคัญของผลกระทบในเชิงคุณภาพและจัดกระบวนการทำงานที่ต้องเร่งให้ความสำคัญ เพื่อให้บริษัทได้รับการฟื้นฟู หรือคืนสู่สภาพเดิมโดยเร็วที่สุด
-
4กระบวนการแจ้งเหตุฉุกเฉิน Call Tree : การแจ้งเหตุฉุกเฉินแก่สมาชิกของทีมงานแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP Team) ให้ได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องตรงกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สมาชิกแต่ละชุดจัดเตรียมแผนรับมือต่อภาวะวิกฤตหรือสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างเป็นระบบ ภายใต้ข้อมูลพื้นฐานของเหตุการณ์ที่รับทราบร่วมกัน ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่ชัดเจน
-
5แผนการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจและฟื้นฟูสถานการณ์ : ดำเนินการฟื้นฟูสถานการณ์ให้ได้รับการฟื้นฟู หรือคืนสู่สภาพเดิมโดยเร็วที่สุด
-
6การทบทวนและปรับปรุงแผนการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ : กำหนดให้ฝ่ายจัดการปรับปรุงข้อมูลใน “แผนการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan : BCP)” ให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบันเป็นประจำ ทุกปี
การจัดการภาวะวิกฤตหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน
แผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ หรือ “Business Continuity Plan (BCP)” ใช้รับรองสถานการณ์กรณีเกิดภาวะวิกฤตหรือสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่สำนักงานหรือภายในหน่วยงาน ซึ่งบริษัทจำเป็นต้องเตรียมแผนการล่วงหน้าและพร้อมรับมือต่อทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นอยู่เสมอ เพื่อให้หน่วยงานสามารถดำเนินธุรกิจไปได้อย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงได้พิจารณาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ดังนี้
การบริหารจัดการกระบวนการหลักของธุรกิจ (Key Business Functions)
เพื่อเป็นการรับมือต่อสถานการณ์ฉุกเฉินและภัยพิบัติต่าง ๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ บริษัทจึงได้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการกระบวนการหลักของธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจได้ต่อเนื่องแม้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมืออาชีพ รวดเร็วและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด บริษัทจึงได้กำหนดแนวทางไว้ดังนี้
1. ระบบการจำหน่ายสินค้าหน้าร้าน (POS)
ระบบการจำหน่ายสินค้าคือกระบวนการที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเครื่องมือสำหรับการรับชำระค่าสินค้า
- 1.1 จัดอบรมพนักงานในกระบวนการจำหน่ายและรับชำระสินค้าด้วยระบบ Manual ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถใช้งานระบบการจำหน่ายสินค้าหน้าร้าน (POS) ได้
- 1.2 สำรองข้อมูลการขายจากระบบการจำหน่ายสินค้าหน้าร้าน (POS) ไว้ในเซิร์ฟเวอร์สำรอง
- 1.3 จัดทำแบบฟอร์มสรุปรายการจำหน่ายสินค้าประจำวันในรูปแบบไฟล์ Excel เพื่อควบคุมและเก็บรวบรวมข้อมูลการจำหน่ายสินค้าให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้อย่างเป็นระบบ
2. ระบบการบริหารสินค้าคงคลัง
ซึ่งประกอบไปด้วยกระบวนการวางแผนสินค้า กระบวนการจัดซื้อ กระบวนการคลังสินค้าและกระบวนการขนส่งสินค้า
- 2.1 ฝ่ายขายและฝ่าย Product จะต้องดำเนินการวางแผนการปริมาณการความต้องการสินค้าประจำสัปดาห์ (forecast) และเบิกจ่ายสินค้าในปริมาณ minimum stock & maximum stock ตามที่บริษัทกำหนด เพื่อให้สินค้ามีพร้อมจำหน่ายสม่ำเสมอ สำรองในกรณีที่ไม่บริษัทสามารถรับสินค้าจากคลังสินค้าได้ชั่วคราวจากสถานการณ์ฉุกเฉิน
- 2.2 เจ้าหน้าที่หน้าสาขาจะต้องบันทึกรายการในใบ stock card ควบคุมปริมาณสินค้าคงคลังทั้งในกรณีที่รับเข้าและเบิกจ่ายสินค้าออก เพื่อควบคุมและติดตามสินค้าในกรณีที่ระบบการจำหน่ายสินค้าหน้าร้าน (POS) ไม่สามารถใช้งานได้ ป้องกันสินค้าสูญหาย
- 2.3 ฝ่าย Product จะต้องวางแผนจัดหาคลังสินค้าและบริษัทขนส่งสินค้าสำรอง 1-2 แห่ง เพิ่มเติมจากบริษัทคลังสินค้าที่ได้ทำสัญญาร่วมกัน เพื่อรับมือกรณีที่การขนส่งหยุดชะงัก
3. ช่องทางการจัดจำหน่าย
- 3.1 บริหารจัดการช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้ารูปแบบออนไลน์ให้พร้อมให้งานและเป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรองรับการจำหน่ายสินค้าในกรณีที่หน้าสาขาไปสามารถเปิดให้บริการได้
4. ระบบบัญชีและการเงิน
- 4.1 กำหนดแผนการสำรองข้อมูลด้านบัญชีและการเงินในบน Cloud หรือเซิร์ฟเวอร์สำรอง เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหาย
- 4.2 กำหนดแผนการบริหารจัดการชำระเงินให้แก่ซัพพลายเออร์ในกรณีที่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน
- 4.3 ฝ่ายบัญชีและการเงินเตรียมความพร้อมสำหรับการให้คำแนะนำวิธีการชำระสินค้าและบริการแก่เจ้าหน้าที่ประจำสาขาอยู่เสมอ เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินจนไปสามารถให้บริการลูกค้าในรูปแบบปกติได้
5. การบริการลูกค้าและศูนย์ช่วยเหลือ
- 5.1 สำนักงานใหญ่และเจ้าหน้าที่ประจำสาขา ต้องสื่อสารและติดตามสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่เสมอ เพื่อการรับรู้สถานการณ์ที่ถูกต้องและตรงกัน เตรียมพร้อมสำหรับการชี้แจ้งสถานการณ์ต่อลูกค้าได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
- 5.2 เตรียมความพร้อมในการมอบหมายเจ้าหน้าที่ที่มีทักษะด้านการรับฟังและการสื่อสารอย่างมืออาชีพ เพื่อเตรียมตอบข้อซักถามและสื่อสารกับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพลดความเข้าใจที่อาจคลาดเคลื่อน
6. ระบบการบริหารทรัพยากรบุคคล
- 6.1 เตรียมแผนการบันทึกเวลาการทำงานในสถานการณ์ฉุกเฉิน
- 6.2 เตรียมแผนการตรวจเช็คจำนวนและสถานะพนักงานอยู่เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานของบริษัทยังอยู่ในสถานการณ์ที่ปลอดภัย และพร้อมเข้าช่วยเหลือพนักงานเมื่อมีเหตุการณ์ที่จำเป็นเร่งด่วน
- 6.2 เตรียมรูปแบบการจ่ายค่าตอบแทนพนักงานประจำเดือนเพิ่มเติมอีก 1 ช่องทางสำรอง ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินจ่ายค่าตอบแทนตามรูปแบบปกติได้